Push System (ระบบผลัก) และ Pull System (ระบบดึง) หมายถึง การจัดการพัสดุคงคลัง (เช่น วัตถุดิบ ชิ้นงานในระหว่างการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จแล้ว) และการจัดการเรื่องการไหลเวียนของวัสดุในระหว่างการผลิต มีจุดมุ่งหมายหลักคือให้สินค้าถึงมือผู้บริโภคเมื่อมีความต้องการ
Push System (ระบบผลัก) หมายถึง การวางแผนเรื่องการไหลเวียนของพัสดุคงคลังในระบบ ถูกจัดทำจากศูนย์ หรือ หน่วยวางแผนส่วนกลาง ซึ่งแผนที่ได้นี้ จะถูกส่งต่อ (Push) ไปยังลำดับขั้นต่อไปของระบบ เช่น ฝ่ายการตลาดคาดคะเนอุปสงค์ของลูกค้า ฝ่ายวางแผนจะกำหนดยอดการผลิต และเมื่อผลิตสินค้าแล้ว จะทำการจัดส่งไปยังหน่วยกระจายสินค้า เพื่อจัดส่งให้ร้านค้าต่อไป ข้อดีของระบบ Push System (ระบบผลัก) ส่งสินค้าได้ทันที ข้อเสีย ของระบบ Push System (ระบบผลัก)สต๊อกจม ทุนจม ค่าดูแลรักษสต๊อกสูง สูญเสียพื้นที่ใช้งานเพราะต้องใช้เก็บรักษาสต๊อก สินค้ามีโอกาสเสื่อมสภาพ เสีย ก่อนการนำไปใช้งาน
Pull System (ระบบดึง) หมายถึง การวางแผนการผลิตแต่ละขั้นตอน จะเกิดจากอุปสงค์ในลำดับขั้นต่อไปของระบบ เช่น ในสายการผลิตซึ่งต้องเจาะชิ้นงาน แล้วส่งไปตัด แผนกเจาะจะทำการเจาะชิ้นงานให้พอกับความต้องการของแผนกตัดเท่านั้น นั่นคืออุปทานจะเกิดขึ้นเมื่อมีอุปสงค์มาดึง ข้อดีของระบบ Pull System (ระบบดึง) มีสินค้าอยู่ตลอดไม่มากเกินเมื่อมีการดึงไปใช้ก็จะมีการเติมใหม่อยู่เสมอ ทำให้ไม่เกิด wip ระหว่างการผลิตที่มี จะไม่มีการรองาน ข้อเสียของระบบ Pull System (ระบบดึง) ต้องสามารถจัดการทุกอย่างแบบ Just In Time ได้ เช่น การ Set-Up การสั่ง Materials การผลิตที่ควบคุมเวลาได้แบบแน่นอน
Credit : https://www.logisticafe.com/2009/11/pull-system-plus-system/