ข่าวแรก “อีซูซุ” ประกาศปิดโรงงานชั่วคราว หนีไวรัส
ข่าวที่สอง “นิสสัน” ประกาศหยุดไลน์ผลิตชั่วคราว 6 เม.ย.-3 พ.ค.
ข่าวที่สาม “ฟอร์ด” ฟันธงขายรถสะดุดโควิดต่ำ 9 แสนคัน
ข่าวที่สี่ Toyota จับมือ Hino เลือกพัฒนารถบรรทุก พลังงานไฮโดรเจน แทน พลังงานไฟฟ้า
1. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ได้รับแจ้งจากบริษัท อีซูซุ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถอีซูซุในประเทศไทยว่า บริษัทได้ตัดสินใจระงับการผลิตรถอีซูซุที่โรงงาน 2 แห่งชั่วคราว คือที่ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ และที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ จ.ฉะเชิงเทรา ตั้งแต่วันที่ 13-30 เมษายนนี้ ทั้งนี้เป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน ส่งผลให้ชิ้นส่วนประกอบต่างๆ ขาดแคลนทั่วโลก รวมทั้งความต้องการของตลาดในประเทศและส่งออกหดตัวลง โดยการระงับการผลิตชั่วคราวนี้ อาจส่งผลต่อการส่งมอบรถให้กับลูกค้าที่จองรถอีซูซุไว้บ้าง แต่บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ขอให้ลูกค้ามั่นใจว่า บริษัทในฐานะผู้จัดจำหน่ายรถอีซูซุจะพยายามอย่างดีที่สุดในการบริหารจัดการเรื่องดังกล่าว
2. นายราเมช นาราสิมัน ประธาน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องของไวรัสโควิด-19 และภาพรวมของตลาดยานยนต์ที่มีความต้องการลดลง บริษัทได้ประกาศปรับแผนการผลิตในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อให้การปฏิบัติงานของพนักงาน รวมถึงการปกป้องดูแลสุขภาพของพนักงาน ลูกค้า รวมถึงชุมชนเป็นไปตามคำแนะนำและมาตรการจากภาครัฐและกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้บริษัทได้หยุดไลน์ผลิตรถยนต์ที่โรงงานนิสสัน บางนา – ตราด กิโลเมตรที่ 21 จ.สมุทรปราการ ทั้ง 2 โรงงาน เป็นการชั่วคราว มีรายละเอียดดังนี้ โรงงานที่ 1 บริษัทจะปรับแผนการผลิต ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน รวมถึงในส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไลน์ผลิต รวมถึงส่วนประกอบเครื่องยนต์ และส่วนปั๊มชิ้นส่วน ในส่วนของโรงงานที่ 2 จะหยุดไลน์ผลิตเป็นการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน ถึงวันที่ 3 พฤษภาคม 2563
3. ฟอร์ดฟันธงขายรถปีนี้ ต่ำกว่า 9 แสนคันแน่นอน พร้อมปรับแผนรับมือโควิด-19 แย้มอาจปิดโรงงานยาว ยันมีรถในสต๊อกรองรับลูกค้าเพียงพอ นายวิชิต ว่องวัฒนาการ กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย เปิดเผยถึงสภาพตลาดรถยนต์ในไตรมาสแรกของปีนี้ว่า มีสถานการณ์ย่ำแย่กว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนมาก ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว ราคาน้ำมันและสถานการณ์การเเพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด โดยจะเห็นได้จากยอดขายรถยนต์ในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา ทำได้แค่ 133,000 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนค่อนข้างมาก ส่วนฟอร์ดเองในเดือน ม.ค. มียอดตกลงไปค่อนข้างมาก โดยขายเพียง 1,000 คัน ส่วนเดือน ก.พ. ยอดขายเพิ่มขึ้นมาที่ 2,863 คัน ขณะที่เดือน มี.ค.นั้น เป็นช่วงของเดือนสุดท้ายในการปิดปีงบปะมาณของค่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งภาพรวมของตลาด โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ตลาดค่อนข้างเงียบมาก ทำให้เชื่อว่ายอดขายในเดือน มี.ค. มีแนวโน้มต่ำกว่าปีก่อนอย่างแน่นอนยอดขายฟอร์ดในปีที่ผ่านมาทำได้ 50,006 คัน และปีนี้คาดว่ายอดขายรถยนต์โดยรวมน่าจะต่ำกว่า 9 แสนคันอย่างเเน่นอน นายวิชิตยังกล่าวว่า ฟอร์ดยังพิจารณาเรื่องของแผนงานเพิ่มโชว์รูมและศูนยบริการในปีนี้อีก 10 แห่ง จาก 180 แห่งในปัจจุบัน จะเพิ่มเป็น 193 แห่งในปีนี้ ซึ่งอาจจะต้องประเมินตามสถานการณ์อีกครั้ง
4. Toyota Motor Corporation และ Hino Motors ประกาศร่วมพัฒนารถพ่วงบรรทุกพลังงานไฮโดรเจนขนาดใหญ่ หรือ รถบรรทุกเซลล์เชื้อเพลิงขนาดใหญ่ (Heavy-Duty Fuel Cell Truck) ส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ Environmental Challenge 2050 ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การพัฒนายานยนต์ที่ใข้พลังงานทดแทน เพื่อลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ซึ่ง Hino รายงานว่า กว่า 60% ของก๊าซคาร์บอนในประเทศญี่ปุ่น ถูกปล่อยมาจากรถบรรทุกทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม การพัฒนารถบรรทุกไฟฟ้าเป็นเรื่องยาก ทั้งระบบส่งกำลัง ระยะทางการวิ่ง น้ำหนักบรรทุก และความคงทน ซึ่งล้วนต้องการมาตรฐานขั้นต่ำ ที่สูงกว่า รถยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งแตกต่างไปตามการใช้งาน และนอกเหนือจากความต้องการข้างต้นแล้ว รถบรรทุกขนาดใหญ่ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบโลจิสติกส์ ยังต้องชาร์จไฟได้เร็ว ทำให้เซลล์เชื้อเพลิงเป็นอีกตัวเลือกที่ได้รับความสนใจ โดยรถบรรทุกรุ่นที่ถูกนำมาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาในครั้งนี้คือ Hino Profia โดยออกแบบแชสซีให้เหมาะสมกับการใช้งานในฐานะรถบรรทุกเซลล์เชื้อเพลิง ลดน้ำหนักเพื่อให้รองรับการบรรทุกได้มากขึ้น ใช้ระบบส่งกำลังของ Toyota ร่วมกับเทคโนโลยีรถยนต์ไฮบริด และตั้งเป้าระยะการวิ่งให้ได้ไกลถึง 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง ซึ่งทั้งสองบริษัท เชื่อมั่นว่าองค์ความรู้จากการร่วมพัฒนารถบัสเซลล์เชื้อเพลิงนับตั้งแต่ปี 2003 จะช่วยในการพัฒนาเทคโนโลยี และทำให้รถบรรทุกพลังงานสะอาดมีความแพร่หลายมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน