ข่าวแรก Ford ทวีปอเมริกาเหนือ เร่งเปิดสายการผลิต
ข่าวที่สอง Panasonic ปิดโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า เตรียมย้ายฐานผลิตไปเวียดนาม
ข่าวที่สาม Mazda อ่วมผลประกอบการร่วงกำไรหายกว่า 80%
ข่าวที่สี่ Toyota มั่นใจปี 2020 ไม่ขาดทุน
1. Ford กลับมาเปิดสายการผลิตในอเมริกาเหนือ ซึ่งเริ่มต้นการผลิตอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2020 ที่ผ่านมา โดยอาศัยบทเรียนจากการผลิตเครื่องมือแพทย์มาประยุกต์ใช้ในการดูแลพนักงานในสายการผลิต ซึ่งเบื้องต้น จะให้ความสำคัญกับพนักงานที่ไม่สามารถทำงานจากบ้านได้เป็นลำดับแรก โดยการเปิดสายการผลิตครั้งนี้ Ford จะลดจำนวนกะในโรงงานประกอบยานยนต์ จากเดิม 3 กะ ลดเหลือ 2 กะ และโรงงานที่ทำงาน 2 กะ จะลดเหลือกะเดียว เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ยอดขายยานยนต์ในตลาดที่ลดลง รวมถึงมาตรการควบคุมโรค ซึ่งโรงงานประกอบยานยนต์ส่วนหนึ่ง ได้เริ่มการผลิตแล้วตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม ในขณะที่อีกส่วนเริ่มในวันที่ 18 และในโรงงานกลุ่มสุดท้ายจะเริ่มการผลิตในวันที่ 25 พฤษภาคม โดยถัดจากนี้ไป จะเป็นโรงงานชิ้นส่วนยานยนต์ที่จะกลับมาเปิดสายการผลิต เพื่อซัพพลายชิ้นส่วนให้กับสายการผลิตรถยนต์ต่อไป
2. วันที่ 21 พ.ค. เว็บไซต์จากต่างประเทศรายงานว่า บริษัท Panasonic เตรียมปิดโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยช่วงปลายปีนี้ โดยจะย้ายฐานการผลิตดังกล่าวไปยังประเทศเวียดนาม เพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยสองโรงงาน Panasonic ในไทยที่กำลังจะปิด ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ คือ โรงงานผลิตเครื่องซักผ้าและตู้เย็น โดยสายการผลิตเครื่องซักผ้าจะหยุดการผลิตในเดือนกันยายน ตามด้วยตู้เย็นในเดือนตุลาคม จากนั้นจึงจะปิดโรงงานภายในเดือนมีนาคม 2021 เป็นลำดับถัดไป โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาจะถูกปิดตัวเช่นเดียวกัน โดยโรงงานทั้งสองแห่งมีพนักงานทั้งหมดราว 800 คน อย่างไรก็ตาม Panasonic รายงานว่า จะช่วยหาตำแหน่งงานใหม่ภายในเครือบริษัทเดียวกันทดแทน Panasonic ชี้แจงถึงสาเหตุที่ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตครั้งนี้ สืบเนื่องจากต้องการลดต้นทุนและควบรวมสายการผลิตไปยังโรงงานที่เวียดนาม ซึ่งเป็นฮับผลิตเครื่องซักผ้าและตู้เย็นที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังมีพื้นที่เพียงพอรองรับสายการผลิตที่จะย้ายไปอีกด้วย
3. ในปีที่ผ่านมา Mazda มีรายได้รวมอยู่ที่ 3,430,285 ล้านเยน หรือประมาณ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปีงบประมาณก่อนหน้า 3.8% ในขณะที่รายได้จากการดำเนินงาน ปิดที่ 43,603 ล้านเยน ลดลง 47.0% และกำไร ปิดที่ 12,131 ล้านเยนลดลง 80.8% ซึ่งสาเหตุที่ผลประกอบการลดลงมากเช่นนี้มาจากหลายปัจจัย อาทิ ตัวเลขภาษีเงินได้รอตัดบัญชี (Deferred Tax), อัตราการแลกเปลี่ยนเงินเยน, ราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น, ค่าใช้จ่ายการวิจัยและพัฒนาที่เพิ่มขึ้นถึง 300 ล้านเยน, และการชะลอตัวของตลาดยานยนต์ทั่วโลกจากโควิด-19 โดยเฉพาะการปิดโรงงานในประเทศจีนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และซัพพลายเชนที่หยุดชะงักนั้น โดยยอดขายยานยนต์มาสด้าทั่วโลกนั้น ทำยอดรวมอยู่ที่ 1,419,000 คัน ลดลงจากปีงบประมาณก่อน 9% ซึ่งเชื่อว่าหนึ่งในสาเหตุหลักมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดที่กระทบต่อยอดขายโดยตรง ทำให้ยอดขายในเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียวลดลงถึง 60,000 คัน อย่างไรก็ตาม ตลาดที่ยอดขายตกลงอย่างมาก คือ จีน อาเซียน และออสเตรเลีย ลดลง 14%, 24% และ 18% ตามลำดับ
4. บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น (Toyota Motors Corporation) ได้จัดงานแถลงข่าว รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2020 โดย ประธานบริษัท ได้คาดการณ์ถึงผลประกอบการทั้งปีที่จะลดลง แต่บริษัทจะไม่ขาดทุน พร้อมคำมั่นที่จะสนับสนุนซัพพลายเออร์ที่เผชิญภาวะวิกฤตจากผลกระทบโควิด รวมถึงการรักษากำลังผลิตปีละ 3 ล้านคันในประเทศญี่ปุ่นไว้เป็นตัวเลขขั้นต่ำ เพื่อประคับประคองภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์เอาไว้ Toyota คาดการณ์ว่า ในปีงบประมาณ 2020 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2021 ยอดขายยานยนต์ของบริษัทฯ จะลดลง 20% อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มั่นใจว่า Toyota จะไม่ขาดทุน ในขณะที่ยอดขายยานยนต์รวมทั่วโลกจะอยู่ที่ 5 แสนล้านเยน หรือประมาณ 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยวางแผนนำเงินทุนที่มีอยู่ไปใช้ในการสนับสนุนซัพพลายเออร์ที่ประสบภาวะวิกฤต ซึ่งทางบริษัทฯ มั่นใจว่า ไม่ว่าหลังสิ้นสุดวิกฤตโควิดจะเป็นเช่นไร เงินลงทุนในด้าน Smart City จะต้องเพิ่มขึ้น และจะกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจสำคัญอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้คนเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเพราะโรคระบาด ซึ่งทำให้มีแนวโน้มว่าความต้องการจะไม่หยุดอยู่ที่เมืองใหญ่ แต่จะกระจายตัวออกไปในเมืองรองอีกด้วย